ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เผยเคล็ดลับ!!!👇🏻👇🏻👇🏻ต้มมะระอย่างไรไม่ให้ขม แถมอร่อย กินง่าย ไม่เหม็นเขียว

เผยเคล็ดลับ!!!👇🏻👇🏻👇🏻ต้มมะระอย่างไรไม่ให้ขม แถมอร่อย กินง่าย ไม่เหม็นเขียว

หวานเป็นลม ขมเป็นยา แต่ขมเกินไปก็ทานไม่ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น หลายคนจึงเลือกที่จะไม่ทานอาหารหรือผักที่มีรสขม อย่างมะระนี่ถ้าทำไม่เป็นรับรองว่าขมติดลิ้นไปนานเลย

แต่ไม่ต้องห่วง เพราะในความเป็นจริงแล้ว มันมีวิธีดีๆหลายวิธีที่ช่วยลดความขมของมะระได้ และไม่ว่าจะนำไปทำเมนูอะไรก็อร่อยลิ้นได้ทั้งนั้น แถมยังได้สารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมายกลับไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น แคลเซียม หรือ วิตามินซี เป็นต้น

ทำไมมะระต้องมีรสขม ?

มะระเป็นพืชล้มลุกชนิดไม้เถา ตระกูลเดียวกับ ฟัก แฟง แตงกวา ซึ่งรสชาติขมในมะระเกิดขึ้นเพราะมีสารเคมีชนิดหนึ่ง ที่ชื่อว่า Momodicine ซึ่งมีสรรพคุณในการช่วยกระตุ้นความรู้สึกให้อยากอาหาร เรียกน้ำย่อย และเป็นยาระบายอย่างอ่อนๆ การทานมะระที่มีรสขมจึงเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มีปัญหาเรื่องท้องผูก รวมไปถึงบุคคลทั่วไปที่อยากมีร่างกายแข็งแรง

เคล็ดลับวิธีลดความขมของมะระ

1. เลือกมะระดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

เทคนิคที่ควรรู้
1. เลือกมะระลูกอวบๆ รูปร่างตรงๆ ไม่งอ เพื่อจะได้หั่นเป็นชิ้นได้ง่าย
2. เลือกมะระริ้วใหญ่และห่าง จับดูแล้วเนื้อต้องแข็ง
3. ผิวออกสีเขียวอ่อนๆ ไม่ขาว ไม่เหลืองเกินไป ถ้ามะระเริ่มออกสีเหลืองส้มหรือเนื้อเริ่มนิ่ม แสดงว่า มะระเริ่มแก่แล้ว รสชาติจะขมมาก

2. ลดความขมด้วยเกลือ
หลังจากหั่นมะระเป็นชิ้นแล้ว ให้ใช้ช้อนขูดไส้และเมล็ดออก จากนั้นจึงนำมาคลุกกับเกลือ โดยมะระ 1 ลูก ให้ใช้เกลือประมาณ 2 ช้อน โรยให้ทั่วและคลุกเคล้าให้เข้ากัน ทิ้งไว้สัก 10 นาที จึงล้างออก นำไปลวกต่อในน้ำเดือดแล้วจึงนำไปปรุงตามขั้นตอนต่างๆ

3. ลวกด้วยน้ำเกลือ
วิธีนี้เหมาะสำหรับเมนูผัด เริ่มจากต้มน้ำให้เดือดแล้วเติมเกลือลงไป นำมะระที่ซอยแล้วลงไปลวก พอมะระเริ่มออกสีเขียวเข้ม ให้รีบตักขึ้นมาล้างในน้ำเย็นเลยทันที ยิ่งน้ำเย็นจัดเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะจะทำให้มะระกรอบและมีสีสวย จากนั้นจึงตักขึ้นสะเด็ดน้ำ แล้วนำไปผัดหรือทานสดๆเป็นเครื่องเคียงกับขนมจีนก็ได้

4. ขยำเกลือ
ถ้ามะระมีรสขมมากๆ ให้ใช้วิธีซอยบางๆ แล้วนำไปขยำกับเกลือจนเนื้อนุ่ม หรือนำไปแช่ในน้ำเกลือสักพัก ก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาดสัก 2-3 น้ำ เพื่อให้มะระหายเค็ม จากนั้นก็นำไปปรุงอาหารต่อได้เลย

5. ต้มน้ำหลายครั้ง
ถ้าไม่อยากให้มะระขม ให้นำมะระไปต้มในน้ำเดือดและเปลี่ยนน้ำหลายๆ ยิ่งเปลี่ยนน้ำมากเท่าไหร่ ความขมจะลดน้อยลงไปเรื่อยๆเท่านั้น แถมยังได้เนื้อมะระที่นุ่มเหมาะสำหรับการต้มหรือตุ๋นด้วย อย่างไรก็ตาม ไม่ควรต้มมะระหลายครั้งจนเกินไป เพราะจะทำให้มะระจืดจนเสียรสชาติไปหมด

6. ต้มโดยไม่ปิดฝาหม้อ
เหมาะสำหรับคนที่ชอบรสขมของมะระติดปลายลิ้นเล็กน้อย หรือเหมาะกับเมนูมะระยัดไส้ โดยหลังจากปรุงรสน้ำซุปเรียบร้อยแล้ว ก็ให้ต้มไปเรื่อยๆด้วยไฟอ่อนๆ และไม่ต้องปิดฝาหม้อ  ยิ่งต้มนานเนื้อมะระก็จะยิ่งนุ่ม และมีรสชาตินุ่มนวลที่เหลือรสขมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ข้อควรระวัง :
1. ห้ามรับประทานมะระสุก เพราะอาจทำให้คลื่นไส้ อาเจียนได้ เนื่องจากมีสารซาโปนินอยู่มาก ซึ่งสารนี้จะทำให้เป็นพิษต่อร่างกายได้
2. อย่าทานมะระมากจนเกินไป เพราะจะทำให้ท้องเสีย เนื่องจากมีฤทธิ์เป็นยาระบาย

ต่อจากนี้ไป การทำมะระทานครั้งต่อไปก็คงจะอร่อยขึ้นแน่ๆ ไม่ว่าจะเป็น ต้มจืด แกงจืดมะระยัดไส้ มะระผัด ยำมะระสด หรือลวกจิ้มน้ำพริก กินกันแบบไม่ต้องกลัวขมเลย เพราะเคล็ดลับนี้ช่วยคุณได้แน่นอน…กินได้บ่อย อร่อยได้ประโยชน์สุดๆ

Cr. แหล่งข้อมูลที่มา http://www.rak-sukapap.com/2016/07/blog-post_827.html
Cr. ภาพในโพสท์ Internet

Cr.เพจNarinsita Sangthong

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สูตร กล้วยน้ำว้าเชื่อม

กล้วยน้ำว้าเชื่อม ผิวและเนื้อดี ไม่เละ วิธีทำง่าย แต่ใช้เวลาเยอะ ราดหัวกะทิที่เค็มปะแล่ม หรือหั่นเป็นชิ้นกินกับน้ำแข็งก็สุดยอด ส่วนผสม ============================ - กล้วยน้ำว้า (ห่าม) เปลือกสีกระดังงา - เกลือ น้ำสะอาด (แช่กล้วย) - น้ำตาลทราย ถ้ามีสีรำก็จะดี ไม่มีก็ใช้สีขาว - น้ำตาลมะพร้าว ชั่งรวมกับน้ำตาลทรายได้ประมาณ 400 - 500 กรัม ลดได้ - น้ำสะอาด 1000 กรัม - เกลือ 1 หยิบนิ้ว - มะนาว 1 เซี่ยว - ใบเตยหอม ล้างสะอาด - หัวกะทิ เกลือ แป้งข้าวเจ้า วิธีทำ =========================== - ผสมน้ำกับเกลือ กะให้พอท่วมกล้วย - ปอกเปลือกแล้วหั่นกล้วยตามขวาง 2 ท่อน หรือผ่า 4 - แช่ในน้ำเกลือทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที - ตั้งกระทะ ใส่น้ำสะอาด ใบเตย ใส่น้ำตาลสองชนิด เปิดไฟ - เมื่อน้ำตาลละลายจนหมด ใส่เกลือ รอเดือด ล้างกล้วยที่แช่น้ำเกลือไว้ หย่อนกล้วยใส่กระทะ - เดือดสักครู่ ปรับเป็นไฟอ่อน มีฟอง ให้ช้อนทิ้งไป วักน้ำเชื่อมในกระทะ ราดกล้วยด้านบนเป็นระยะ สามารถเติมน้ำได้อีก - กระทะนี้ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที 2ชั่วโมง เมื่อกล้วยเงาสวย ก่อนตักขึ้น ให้ใส่น้ำมะนาว แล้วคนเบามือ - ตักใส่จาน เตรียมทำน้ำกะทิ ราด -

สูตรลาบเป็ด

ลาบเป็ด เมนูนี้ใครที่ไปร้านส้มตำต้องเคยกินกันแล้วแน่นอน ถือได้ว่าเป็นอาหารอีสานยอดนิยมเลยทีเดียว เนื้อเป็ดที่สับละเอียดเอามาทำเป็นลาบที่ได้รสชาติเข้มข้นหอมกลิ่นข้าวคั่ว ทานเป็นกับแกล้มหรือทานกับข้าวเหนียวร้อนอร่อยแน่นอนครับ วัตถุดิบลาบเป็ด  1. น้ำตาลทราย 1/2 ชช. 2. น้ำปลา 1/2 ชต. 3. พริกป่น 1/2 ชต. 4. เนื้ออกเป็ด 150 กรัม 5. มะนาว 1/2 ลูก 6. หอมแดงซอย 2 ชต 7. พริกแห้งทอด 6-7 เม็ด 8. ข้าวคั่ว 1 ชต. 9. ต้นหอม 2 ต้น 10. ผักชีฝรั่ง 2 ต้น 11. ใบสาระแหน่ 1 ต้น 12. น้ำซุปไก่ 1 ทัพพี วิธีทำลาบเป็ด  1.ซอยต้นหอม , ผักชีฝรั่งเตรียมไว้ จากนั้นสับเนื้อเป็ดให้ละเอียดปานกลาง 2.เติมน้ำซุปไก่ลงในหม้อ ตามด้วยเนื้อเป็ดและรวนให้สุก ปรุงรสด้วยน้ำปลา ,น้ำตาล , พริกป่น , ข้าวคั่ว คนให้เข้ากันปิดแก็สแล้วจึงเติมน้ำมะนาวลงไป 3.เติมหอมแดง , ต้นหอม ,ผักชีฝรั่ง และคลุกให้เข้ากัน เด็ดใบสาระแหน่โรยหน้าตามด้วยพริกทอดเป็นอันเสร็จ

วิธีทำ ซาลาเปาไส้ถั่วดำ(จีน)

ส่วนผสมตัวแป้ง 1. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 400 กรัม 2. น้ำตาลทรายขาว 100 กรัม 3. ผงฟู 20 กรัม 4. ยีสต์แห้ง 20 กรัม 5. เนยขาว 20 กรัม 6. โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 20 กรัม 7. น้ำเปล่า 200 กรัม ส่วนผสมไส้ถั่วดำ 1. ถั่วดำเม็ดเล็กคั่วให้หอมแช่น้ำ 1 คืน 2 ถ้วยตวง 2. น้ำตาลทรายขาว 1 ถ้วยตวง 3. เนยจืดสด 50 กรัม วิธีทำซาลาเปาไส้ถั่วดำ Bean Bun วิธีทำแป้งซาลาเปา 1. นำน้ำอุ่นมาใส่ลงในยีสต์ให้ท่วมเล็กน้อยรอจนยีสต์ตื่น 2. นำแป้งสาลี น้ำตาลทรายขาว ผงฟู ผสมให้เข้ากัน 3. ใส่เนยขาว ยีสต์ ตามด้วยโยเกิร์ตผสมให้เข้ากัน และค่อยๆใส่น้ำลงไปนวดจนเป็นโดว์ และเนียนเข้ากันดี ใช้พลาสติกคลุมไว้ ทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง 35-40 องศา จนแป้งขึ้นฟู ประมาณ 1-2 ชม 4. นำแป้งนวลมาโรยพื้นที่จะทำการปั้นแป้ง แล้วแบ่งแป้งออกมาปั้นเป็นก้อน ขนาดก้อนละ 20-25 กรัม วิธีทำไส้ถั่วดำ 1. นำถั่วดำ ต้มจนนิ่ม กรองน้ำออก 2. นำถั่วดำไปบด และกรองผ่านตะแกรง 3. ผสมเนยจืด น้ำตาลทราย พักให้เย็น 4. นำแป้งมาแผ่ออกใส่ไส้ตรงกลางแล้วห่อคุมให้มิด ใส่กระดาษรองซาลาเปาโดยการใช้น้ำแปะตรงก้นซาลาเปาเล็กน้อย แล้ววางลงกลางกระดาษ วิธีนี้จะช่วยให้เมื่อซาลาเป